น้ำใต้ดิน: ทรัพยากรล้ำค่าที่ต้องรู้จักและปกป้อง
น้ำใต้ดินเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่อยู่ใต้ผิวดิน ถูกใช้ในการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่คุณรู้หรือไม่ว่ากฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำใต้ดินมีอะไรบ้าง? รวมถึงวิธีการตรวจสอบคุณภาพและแนวทางการฟื้นฟูหากเกิดการปนเปื้อน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักน้ำใต้ดินตั้งแต่พื้นฐาน การควบคุมทางกฎหมาย ไปจนถึงการฟื้นฟูเมื่อเกิดมลพิษ พร้อมทั้งแนะนำวิธีตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินอย่างถูกต้อง มีอะไรบ้างเราตามมาดูกันเลย
น้ำใต้ดินคืออะไร?
น้ำใต้ดิน คือ น้ำที่อยู่ใต้ผิวดินในชั้นหินและดินที่สามารถซึมผ่านได้ (ซึ่งเรียกว่า “ชั้นดินซึมน้ำ” หรือ aquifer) โดยน้ำใต้ดินเกิดจากน้ำฝนที่ซึมลงไปในดินและหินจนเกิดการสะสมในชั้นต่างๆ ภายในพื้นดิน น้ำใต้ดินสามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของดินและน้ำใต้ดินได้ เช่น บ่งบอกการปนเปื้อนของสารมลพิษในน้ำใต้ดิน และอีกทั้งยังมีการนำน้ำใต้ดินมาใช้ในการทำการเกษตรและอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำผิวดิน เช่น แม่น้ำหรือทะเลสาบ
ดิน คือ ทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคต่างๆ เช่น ดินทราย ดินเหนียว ดินปนทราย อินทรียวัตถุ และแร่ธาตุต่างๆ ดินเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช เพราะพืชจะนำสารอาหารและน้ำจากดินไปใช้ในการเจริญเติบโต นอกจากนี้ ดินยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น สัตว์ขนาดเล็ก, เชื้อรา, และจุลินทรีย์ที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับดินและน้ำใต้ดินมีอะไรบ้าง?
- พระราชบัญญัติน้ำ (พ.ศ. 2555) กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศไทย โดยครอบคลุมถึงการใช้น้ำและการอนุรักษ์น้ำ ทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน
- พระราชบัญญัติการจัดการคุณภาพน้ำ (พ.ศ. 2539) กฎหมายนี้กำหนดมาตรการในการป้องกันและควบคุมการปนเปื้อนในน้ำ ทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน รวมถึงการรักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสมสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันและการเกษตรกรรม รวมถึงมีการการกำหนดค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำ และการจัดการมลพิษที่เกิดจากการทิ้งสารพิษหรือของเสียลงในแหล่งน้ำ
- พระราชบัญญัติการป้องกันและบรรเทาภัยจากมลพิษ (พ.ศ. 2535) พระราชบัญญัตินี้เกี่ยวข้องกับการควบคุมและลดมลพิษในสิ่งแวดล้อมทั้งทางน้ำและดิน โดยจะมีการตรวจสอบและจัดการกับการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือของเสียที่อาจรั่วไหลลงไปในน้ำใต้ดินหรือดิน กำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันมลพิษจากการทิ้งขยะและสารพิษ การตรวจสอบและควบคุมกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อดินและน้ำใต้ดิน
- พระราชบัญญัติการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2535)พระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการควบคุมการใช้ดินและน้ำ ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรดินและน้ำใต้ดินในรูปแบบที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ รวมถึงการกำหนดพื้นที่ที่ต้องการการอนุรักษ์และฟื้นฟู
- พระราชบัญญัติการอนุรักษ์และฟื้นฟูดิน (พ.ศ. 2562) กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและฟื้นฟูสภาพดินในประเทศไทย โดยมีมาตรการในการป้องกันการกัดเซาะดินและการลดความเสื่อมสภาพของดินจากกิจกรรมเกษตรกรรม การส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและไม่ทำลายดิน การให้การศึกษาและการสนับสนุนการใช้วิธีการที่ช่วยฟื้นฟูดินที่เสื่อมสภาพ
- พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำบาดาล (พ.ศ. 2520) กฎหมายนี้กำหนดการควบคุมการใช้น้ำบาดาลและการจัดการแหล่งน้ำใต้ดิน การอนุญาตการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลและการใช้ทรัพยากรน้ำใต้ดิน การควบคุมการใช้น้ำใต้ดินเพื่อป้องกันการใช้เกินความจำเป็นและการปนเปื้อนของน้ำใต้ดิน
- กฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุมการปล่อยของเสียลงสู่แหล่งน้ำ กฎกระทรวงฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการปล่อยของเสียและสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำและดิน ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษในน้ำใต้ดินจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม
- กฎหมายท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดการน้ำใต้ดินและดิน กฎหมายท้องถิ่นบางประการในพื้นที่ต่างๆ อาจมีข้อบังคับเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดินและน้ำใต้ดินในระดับท้องถิ่น เช่น การควบคุมการก่อสร้างการขุดเจาะบ่อบาดาลหรือการจัดการดินในพื้นที่เกษตรกรรม
การวิเคราะห์ดินและน้ำใต้ดินทำได้อย่างไร?
การวิเคราะห์ดินและน้ำใต้ดินเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินคุณภาพของทัพยากรดินและแหล่งน้ำใต้ดิน หรือการพัฒนาทางพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การวิเคราะห์นี้มีทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพ เพื่อตรวจสอบว่าแหล่งดินหรือแหล่งน้ำที่ใช้อยู่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์หรือไม่
1. การวิเคราะห์ดิน
การวิเคราะห์ดินเป็นการวิเคราะห์เพื่อการศึกษาคุณสมบัติต่างๆ ของดิน เช่น วิเคราะห์คุณภาพดินที่สามารถเพาะปลูกพืชได้ วิเคราะห์ความเป็นกรด-ด่าง (pH) หาปริมาณธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, และโพแทสเซียม ความหนาแน่นของดินและการไหลซึมของน้ำ ความสามารถในการระบายน้ำ รวมไปถึงสารพิษหรือมลพิษที่อาจมีในดิน เช่น ปริมาณโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต (ตะกั่ว, แคดเมียม, หรือสารพิษอื่นๆ)
2. การวิเคราะห์น้ำใต้ดิน
การวิเคราะห์น้ำใต้ดินมีความสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพของน้ำใต้ดิน สามารถบ่งบอกถึงการบนเปื้อนของสารพิษหรือสารอันตรายภายในน้ำใต้ดินรวมถึงการวิเคราะห์เพื่อการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น นำน้ำมาใช้เพื่อการเกษตร หรือการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยการตรวจสอบจะอ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐาน และมีการตรวจสอบตามพารามิเตอร์ดังต่อไปนี้
- การวัดพารามิเตอร์ทางเคมี: เช่น pH, ความกระด้างของน้ำ, ปริมาณแร่ธาตุ, เช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, ซัลเฟต, และคลอไรด์
- การตรวจหาสารพิษหรือมลพิษ: เช่น โลหะหนัก (ตะกั่ว, แคดเมียม), สารเคมีตกค้าง, หรือการปนเปื้อนจากสารอินทรีย์
- การทดสอบค่าสารอินทรีย์: เช่น BOD (Biochemical Oxygen Demand) และ COD (Chemical Oxygen Demand) ที่ใช้ประเมินการปนเปื้อนอินทรีย์ในน้ำ
- การทดสอบหาสารอินทรีย์ในน้ำ: เช่น สารอินทรีย์ที่เกิดจากการใช้สารเคมีหรือสารเคมีตกค้างจากอุตสาหกรรม
เกณฑ์มาตรฐานการตรวจวัดดินและน้ำใต้ดิน มีอะไรบ้าง?
เกณฑ์มาตรฐานในการตรวจวัดดินและน้ำใต้ดินนั้นจะต้องอ้างอิงตามมาตรฐานที่กำหนดโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละประเทศ เช่น กรมควบคุมมลพิษ หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่ม แต่ในประเทศไทยอ้างอิงตามกรมควบคุมมลพิษ
- pH ของน้ำ: สำหรับน้ำดื่มควรมีค่า pH ระหว่าง 5 – 8.5
- ค่าการกระด้างของน้ำ: ค่าความกระด้างไม่ควรเกิน 500 มก./ลิตร (หรือค่าที่เหมาะสมตามมาตรฐานของแต่ละประเทศ)
- ปริมาณโลหะหนัก: เช่น ตะกั่ว (Pb) ไม่เกิน 01 มก./ลิตร สำหรับน้ำดื่ม
การฟื้นฟูดินและน้ำใต้ดินในกรณีเกิดมลพิษปนเปื้อน ทำได้อย่างไร?
การฟื้นฟูดินและน้ำใต้ดินในกรณีเกิดมลพิษปนเปื้อนถือเป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์และสุขภาพของมนุษย์ เมื่อมีการเกิดมลพิษในดินและน้ำใต้ดิน ผลกระทบที่ตามมาอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการเกษตรและการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่นั้นๆ การฟื้นฟูดินและน้ำใต้ดินนั้นมีหลายวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งต้องพิจารณาถึงลักษณะของมลพิษ, ระดับความรุนแรง และเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการฟื้นฟู
1. การฟื้นฟูดิน
การฟื้นฟูดินที่เกิดจากมลพิษนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของมลพิษที่เกิดขึ้น ดังนี้
1.1 การใช้พืชในการฟื้นฟู (Phytoremediation)
การใช้พืชในการฟื้นฟูดินเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นวิธีที่ค่อนข้างประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พืชบางชนิดสามารถดูดซับมลพิษจากดินได้ โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น สังกะสี, ตะกั่ว, หรือแคดเมียม พืชที่ใช้ได้ต้องมีความสามารถในการดูดซับและเก็บสะสมสารพิษเหล่านี้ในส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ราก, ลำต้น หรือใบ นอกจากนี้พืชยังช่วยปรับโครงสร้างของดินและเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ซึ่งช่วยให้ดินสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้เร็วขึ้น
1.2 การใช้จุลินทรีย์ในการบำบัด (Bioremediation)
การใช้จุลินทรีย์ในการฟื้นฟูดินเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ โดยการใช้จุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายสารพิษในดิน เช่น น้ำมัน, สารเคมีจากการเกษตร, หรือสารอินทรีย์อื่นๆ จุลินทรีย์เหล่านี้สามารถย่อยสลายสารพิษและเปลี่ยนเป็นสารที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม การใช้เทคนิคนี้มีประสิทธิภาพในหลายกรณีที่มลพิษเป็นสารอินทรีย์และไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีการทางกายภาพ
1.3 การฟื้นฟูทางกายภาพ (Physical Remediation)
ในบางกรณีที่มลพิษมีความรุนแรงหรือมีลักษณะเป็นสารที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย เช่น โลหะหนักหรือสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการทางกายภาพ เช่น การขุดดินที่ปนเปื้อนออกมาแล้วทำการบำบัดในสถานที่เฉพาะ หรือการใช้เทคนิคการขุดลอกดินเพื่อกำจัดสารพิษ
2. การฟื้นฟูน้ำใต้ดิน
การฟื้นฟูน้ำใต้ดินที่ปนเปื้อนจากมลพิษมีความซับซ้อนมากกว่าการฟื้นฟูดิน เนื่องจากน้ำใต้ดินมักมีการเคลื่อนที่ช้าและเป็นระบบที่มีลักษณะซับซ้อน ซึ่งการฟื้นฟูน้ำใต้ดินนั้นต้องใช้วิธีที่หลากหลายและสามารถปรับใช้ได้ตามลักษณะของมลพิษ
2.1 การบำบัดน้ำใต้ดินด้วยการกรอง (Filtration)
การกรองน้ำใต้ดินเป็นวิธีที่มักใช้ในกรณีที่น้ำใต้ดินมีการปนเปื้อนจากสารเคมีบางประเภท เช่น น้ำมัน หรือสารอินทรีย์ วิธีนี้มักจะใช้การกรองสารพิษผ่านวัสดุกรองที่มีความสามารถในการจับหรือแยกสารพิษออกจากน้ำ เช่น การใช้คาร์บอนหรือวัสดุกรองทางชีวภาพในการดูดซับ
2.2 การบำบัดน้ำใต้ดินด้วยการใช้ออกซิเจน (In-situ Oxidation)
การบำบัดน้ำใต้ดินด้วยการใช้ออกซิเจนเป็นวิธีที่สามารถใช้ได้ในการกำจัดสารเคมีที่มีความเป็นพิษ เช่น สารเคมีที่มีธาตุคาร์บอนหรือไนโตรเจน โดยการฉีดสารออกซิเจนเข้าสู่น้ำใต้ดินเพื่อกระตุ้นกระบวนการออกซิเดชันที่ช่วยให้สารพิษเปลี่ยนรูปเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ
2.3 การใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดน้ำใต้ดิน (Bioremediation)
เช่นเดียวกับการฟื้นฟูดิน การใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดน้ำใต้ดินก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมในกรณีที่น้ำใต้ดินมีการปนเปื้อนจากสารอินทรีย์หรือสารเคมีที่สามารถย่อยสลายได้ จุลินทรีย์ที่ถูกเลือกใช้งานจะช่วยย่อยสลายสารพิษในน้ำและเปลี่ยนเป็นสารที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
หากท่านกำลังมองหาสถานที่รับบริการตรวจสอบคุณภาพน้ำ บริษัท เอส เอส ซี ออยล์ จำกัด ขอเป็นคำตอบให้กับท่าน ด้วยห้องปฏิบัติการ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฏหมาย รองรับ ISO17025 เรารับตรวจสอบคุณภาพน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม น้ำจากระบบบำบัดน้ำ น้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำใต้ดิน ด้วยเครื่องมือที่ครบครันทันสมัย พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง